Tag: PHP Beginner

  • PHP101 – การจัดการ String

    ใน Module นี้ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการ String ใน PHP ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการทำงานกับข้อความ ข้อมูลจากผู้ใช้ หรือข้อมูลจากไฟล์และฐานข้อมูล

    String คืออะไร?

    String ใน PHP คือลำดับของตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์อื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดเดี่ยว Single quote (') หรือคำพูดคู่ Double quote (") ให้เรียกเป็นภาษาอังกฤษจะเข้าใจได้ทั่วกันมากกว่า

    PHP
    <?php
    
      $singleQuotedString = 'นี่คือ String ที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดเดี่ยว';
      $doubleQuotedString = "นี่คือ String ที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดคู่";
    
    ?>

    ความแตกต่างระหว่างเครื่องหมายคำพูดเดี่ยวและคู่

    ความแตกต่างหลักคือการตีความตัวแปรและการใช้ Escape Sequences:

    • เครื่องหมายคำพูดเดี่ยว Single quote ('): จะตีความ String ตามตัวอักษร ไม่มีการแทนที่ตัวแปรหรือ Escape Sequences บางตัว (เช่น \n, \t)
    • เครื่องหมายคำพูดคู่ Double quote ("): จะมีการแทนที่ตัวแปรภายใน String (สามารถใส่ตัวแปร ลงไปใน String) และรองรับ Escape Sequences ที่หลากหลาย
    PHP
    <?php
    
      $name = "สมชาย";
      echo 'สวัสดี, $name!'; // Output: สวัสดี, $name!
      echo "สวัสดี, $name!"; // Output: สวัสดี, สมชาย!
    
      echo 'นี่คือบรรทัดใหม่\n'; // Output: นี่คือบรรทัดใหม่\n
      echo "นี่คือบรรทัดใหม่\n"; // Output: (ขึ้นบรรทัดใหม่)
    
    ?>

    การเชื่อมต่อ String (String Concatenation)

    ใช้เครื่องหมายจุด (.) เพื่อเชื่อมต่อ String หลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน

    PHP
    <?php
    
      $firstName = "John";
      $lastName = "Doe";
      $fullName = $firstName . " " . $lastName;
      echo $fullName; // Output: John Doe
    
    ?>

    ฟังก์ชันที่ใช้จัดการ String (String Functions)

    PHP มีฟังก์ชันมากมายที่ช่วยในการจัดการ String:

    strlen()

    หาค่าความยาวของ String (จำนวนตัวอักษร)

    PHP
    <?php
    
      $text = "Hello World!";
      echo strlen($text); // Output: 12
    
    ?>

    str_word_count()

    นับจำนวนคำใน String

    PHP
    <?php
    
      $text = "Hello World!";
      echo str_word_count($text); // Output: 2
    
    ?>

    strrev()

    กลับ String จากหลังมาหน้า

    PHP
    <?php
    
      $text = "Hello";
      echo strrev($text); // Output: olleH
    
    ?>

    strpos()

    ค้นหาตำแหน่งของการปรากฏครั้งแรกของ Substring ภายใน String (คืนค่าตำแหน่ง หรือ false หากไม่พบ)

    *พูดง่ายๆคือหาตำแหน่งของชุดตัวอักษรที่เราต้องการ

    PHP
    <?php
    
      $text = "Hello World!";
      echo strpos($text, "World"); // Output: 6
    
    ?>

    str_replace()

    แทนที่ Substring ที่ระบุด้วย String อื่น

    PHP
    <?php
    
      $text = "Hello World!";
      $newText = str_replace("World", "PHP", $text);
      echo $newText; // Output: Hello PHP!
    
    ?>

    strtolower() และ strtoupper()

    แปลง String เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด หรือตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด

    PHP
    <?php
    
      $text = "Hello World!";
      echo strtolower($text); // Output: hello world!
      echo "<br>";
      echo strtoupper($text); // Output: HELLO WORLD!
    
    ?>

    trim()

    ตัดช่องว่าง (whitespaces) ที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังของ String ออก

    PHP
    <?php
    
      $text = "  Hello World!  ";
      echo trim($text); // Output: Hello World!
    
    ?>

    substr()

    คืนค่าส่วนหนึ่งของ String

    PHP
    <?php
    
      $text = "Hello World!";
      echo substr($text, 0, 5); // Output: Hello (เริ่มจากตำแหน่ง 0, เอา 5 ตัว)
      echo "<br>";
      echo substr($text, 6);    // Output: World! (เริ่มจากตำแหน่ง 6 ถึงท้าย String)
    
    ?>

    explode()

    แยก String ออกเป็น Array โดยใช้ตัวคั่นที่ระบุ

    PHP
    <?php
    
      $tags = "php,mysql,javascript";
      $tagArray = explode(",", $tags);
      print_r($tagArray); // Output: Array ( [0] => php [1] => mysql [2] => javascript )
    
    ?>

    implode() หรือ join()

    รวมสมาชิกของ Array เป็น String โดยมีตัวคั่นที่ระบุ

    PHP
    <?php
    
      $colors = ["red", "green", "blue"];
      $colorString = implode(", ", $colors);
      echo $colorString; // Output: red, green, blue
    
    ?>

    Escape Sequences

    Escape Sequences ใช้ใน String ที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดคู่ เพื่อแทนที่ตัวอักษรพิเศษที่ไม่สามารถพิมพ์ได้โดยตรง

    • \n: ขึ้นบรรทัดใหม่ (Newline)
    • \r: Carriage Return
    • \t: Tab
    • \\: Backslash
    • \$: เครื่องหมาย Dollar
    • \": เครื่องหมายคำพูดคู่
    PHP
    <?php
    
      echo "นี่คือข้อความ\nที่มีบรรทัดใหม่";
      echo "<br>";
      echo "ราคาสินค้าคือ \$100";
      echo "<br>";
      echo "เครื่องหมายคำพูดคู่คือ \"";
    
    ?>

    กิจกรรมใน Module 6

    1. สร้าง String โดยใช้ทั้งเครื่องหมายคำพูดเดี่ยวและคู่ และสังเกตความแตกต่าง
    2. ใช้ตัวดำเนินการจุด (.) เพื่อเชื่อมต่อ String หลายๆ ตัว
    3. ทดลองใช้ฟังก์ชัน strlen(), str_word_count(), และ strrev()
    4. ค้นหาตำแหน่งของ Substring ใน String โดยใช้ strpos()
    5. แทนที่คำหรือส่วนของ String โดยใช้ str_replace()
    6. แปลง String เป็นตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่
    7. ตัดช่องว่างหน้าและหลัง String โดยใช้ trim()
    8. ดึงส่วนหนึ่งของ String โดยใช้ substr()
    9. แยก String เป็น Array และรวม Array เป็น String
    10. ใช้ Escape Sequences ใน String ที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดคู่

    ใน Module ถัดไป เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการ Form และการรับข้อมูลจากผู้ใช้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ที่มีการโต้ตอบครับ!

  • PHP101 – อาร์เรย์ (Arrays)

    อาร์เรย์ (Arrays) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่สำคัญใน PHP ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดเก็บและจัดการข้อมูลหลายๆ ค่าภายใต้ตัวแปรเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    อาร์เรย์คืออะไร?

    อาร์เรย์ใน PHP คือตัวแปรที่สามารถเก็บค่าได้หลายค่า โดยแต่ละค่าจะถูกระบุด้วยสิ่งที่เรียกว่า “คีย์” (key) หรือ “ดัชนี” (index)

    การสร้างอาร์เรย์ (Creating Arrays)

    มีหลายวิธีในการสร้างอาร์เรย์ใน PHP:

    การใช้วงเล็บเหลี่ยม [] (Array Literal)

    PHP
    <?php
    
      $colors = ["red", "green", "blue"];
      $numbers = [1, 2, 3, 4, 5];
      $mixed = [1, "hello", 3.14, true];
    
    ?>

    การใช้ฟังก์ชัน array()

    PHP
    <?php
    
      $colors = array("red", "green", "blue");
      $numbers = array(1, 2, 3, 4, 5);
      $mixed = array(1, "hello", 3.14, true);
    
    ?>

    การเข้าถึงสมาชิกของอาร์เรย์ (Accessing Array Elements)

    คุณสามารถเข้าถึงสมาชิกแต่ละตัวในอาร์เรย์ได้โดยใช้คีย์หรือดัชนีของมัน

    อาร์เรย์แบบมีดัชนี (Indexed Arrays)

    ในอาร์เรย์แบบมีดัชนี สมาชิกแต่ละตัวจะมีดัชนีเป็นตัวเลข เริ่มต้นจาก 0

    PHP
    <?php
    
      $colors = ["red", "green", "blue"];
      echo $colors[0]; // Output: red
      echo $colors[1]; // Output: green
      echo $colors[2]; // Output: blue
    
    ?>

    อาร์เรย์แบบมีคีย์ (Associative Arrays)

    ในอาร์เรย์แบบมีคีย์ สมาชิกแต่ละตัวจะมีคีย์เป็น String ที่คุณกำหนดเอง

    PHP
    <?php
    
      $ages = ["John" => 30, "Jane" => 25, "Peter" => 35];
      echo $ages["John"]; // Output: 30
      echo $ages["Jane"]; // Output: 25
      echo $ages["Peter"]; // Output: 35
    
    ?>

    อาร์เรย์แบบผสม (Mixed Arrays)

    อาร์เรย์ใน PHP สามารถมีทั้งสมาชิกแบบมีดัชนีและแบบมีคีย์ผสมกันได้

    PHP
    <?php
    
      $person = ["name" => "Alice", 28, "city" => "New York"];
      echo $person["name"]; // Output: Alice
      echo $person[0];    // Output: 28
      echo $person["city"]; // Output: New York
    
    ?>

    การเพิ่มและแก้ไขสมาชิกของอาร์เรย์ (Adding and Modifying Array Elements)

    การเพิ่มสมาชิก

    PHP
    <?php
    
      $colors = ["red", "green"];
      $colors[] = "blue"; // เพิ่ม "blue" ไปที่ท้ายอาร์เรย์ (ดัชนีอัตโนมัติ)
      $colors["favorite"] = "yellow"; // เพิ่มสมาชิกด้วยคีย์ "favorite"
    
      $ages = ["John" => 30];
      $ages["Jane"] = 25; // เพิ่มสมาชิกด้วยคีย์ "Jane"
    
      print_r($colors);
      echo "<br>";
      print_r($ages);
    
    ?>

    การแก้ไขสมาชิก

    PHP
    <?php
    
      $colors = ["red", "green", "blue"];
      $colors[0] = "pink"; // แก้ไขสมาชิกที่มีดัชนี 0
    
      $ages = ["John" => 30, "Jane" => 25];
      $ages["John"] = 31; // แก้ไขสมาชิกที่มีคีย์ "John"
    
      print_r($colors);
      echo "<br>";
      print_r($ages);
    
    ?>

    ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับอาร์เรย์ (Array Functions)

    PHP มีฟังก์ชันมากมายที่ใช้ในการจัดการอาร์เรย์ เช่น:

    • count(): นับจำนวนสมาชิกในอาร์เรย์
    • print_r(): แสดงข้อมูลเกี่ยวกับอาร์เรย์ในรูปแบบที่มนุษย์อ่านได้
    • var_dump(): แสดงข้อมูลเกี่ยวกับอาร์เรย์ รวมถึงชนิดข้อมูลและความยาวของแต่ละสมาชิก
    • array_push(): เพิ่มสมาชิกหนึ่งหรือมากกว่าไปที่ท้ายอาร์เรย์
    • array_pop(): นำสมาชิกสุดท้ายออกจากอาร์เรย์
    • array_shift(): นำสมาชิกแรกออกจากอาร์เรย์
    • array_unshift(): เพิ่มสมาชิกหนึ่งหรือมากกว่าไปที่ต้นอาร์เรย์
    • sort(): เรียงลำดับสมาชิกของอาร์เรย์ (จากน้อยไปมาก)
    • rsort(): เรียงลำดับสมาชิกของอาร์เรย์ (จากมากไปน้อย)
    • ksort(): เรียงลำดับสมาชิกของอาร์เรย์ตามคีย์ (จากน้อยไปมาก)
    • krsort(): เรียงลำดับสมาชิกของอาร์เรย์ตามคีย์ (จากมากไปน้อย)
    • in_array(): ตรวจสอบว่ามีค่าที่ระบุอยู่ในอาร์เรย์หรือไม่
    • array_search(): ค้นหาคีย์ของค่าที่ระบุในอาร์เรย์
    PHP
    <?php
    
      $colors = ["red", "green", "blue"];
      echo "จำนวนสี: " . count($colors) . "<br>";
      print_r($colors);
      echo "<br>";
      array_push($colors, "yellow");
      print_r($colors);
      echo "<br>";
      $lastColor = array_pop($colors);
      echo "สีสุดท้ายที่ถูกนำออก: " . $lastColor . "<br>";
      print_r($colors);
    
    ?>

    การวนซ้ำอาร์เรย์ (Looping Through Arrays)

    คุณสามารถใช้ loops ต่างๆ เช่น for และ foreach เพื่อเข้าถึงสมาชิกทั้งหมดในอาร์เรย์

    การใช้ for loop

    PHP
    <?php
    
      $numbers = [10, 20, 30, 40, 50];
      for ($i = 0; $i < count($numbers); $i++) {
        echo "Number at index " . $i . ": " . $numbers[$i] . "<br>";
      }
    
    ?>

    การใช้ foreach loop

    PHP
    <?php
    
      $colors = ["red", "green", "blue"];
      foreach ($colors as $color) {
        echo "Color: " . $color . "<br>";
      }
    
      $ages = ["John" => 30, "Jane" => 25, "Peter" => 35];
      foreach ($ages as $name => $age) {
        echo $name . " is " . $age . " years old.<br>";
      }
    
    ?>

    อาร์เรย์หลายมิติ (Multidimensional Arrays)

    อาร์เรย์หลายมิติคืออาร์เรย์ที่ภายในมีอาร์เรย์อื่นๆ เป็นสมาชิก

    PHP
    <?php
    
      $students = [
        ["name" => "Alice", "age" => 20, "major" => "Computer Science"],
        ["name" => "Bob", "age" => 22, "major" => "Engineering"],
        ["name" => "Charlie", "age" => 21, "major" => "Mathematics"]
      ];
    
      echo $students[0]["name"] . " is " . $students[0]["age"] . " years old.<br>";
      echo $students[1]["major"]; // Output: Engineering
    
    ?>

    กิจกรรมใน Module 5

    1. สร้างอาร์เรย์แบบมีดัชนีและแสดงผลสมาชิกบางตัว
    2. สร้างอาร์เรย์แบบมีคีย์และเข้าถึงค่าโดยใช้คีย์
    3. เพิ่มและแก้ไขสมาชิกในอาร์เรย์
    4. ใช้ฟังก์ชัน count(), print_r(), และ var_dump() กับอาร์เรย์
    5. วนซ้ำอาร์เรย์โดยใช้ for และ foreach loops
    6. สร้างอาร์เรย์หลายมิติและเข้าถึงข้อมูลภายใน

    ใน Module ถัดไป เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการ String ใน PHP ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานกับข้อความและข้อมูลที่เป็นตัวอักษรครับ!

  • PHP101 – ฟังก์ชัน (Functions)

    ฟังก์ชัน (Functions) เป็นส่วนสำคัญในการเขียนโค้ด PHP ที่เป็นระเบียบ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และง่ายต่อการจัดการ

    ฟังก์ชันคืออะไร?

    ฟังก์ชันคือบล็อกของโค้ดที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง เมื่อคุณต้องการใช้งานโค้ดในบล็อกนั้น คุณสามารถเรียกใช้ฟังก์ชันได้

    การสร้างฟังก์ชัน (Defining a Function)

    ในการสร้างฟังก์ชันใน PHP คุณต้องทำตามรูปแบบนี้:

    PHP
    <?php
    
      function functionName($parameter1, $parameter2, ...) {
        // โค้ดที่จะทำงานเมื่อเรียกใช้ฟังก์ชัน
        return $returnValue; // Optional
      }
    
    ?>
    • function: คำหลักที่ใช้ในการประกาศฟังก์ชัน
    • functionName: ชื่อของฟังก์ชัน (ควรสื่อถึงการทำงานของฟังก์ชัน)
    • ($parameter1, $parameter2, ...): พารามิเตอร์ (หรืออาร์กิวเมนต์) คือตัวแปรที่รับค่าจากภายนอกเมื่อมีการเรียกใช้ฟังก์ชัน ฟังก์ชันอาจมีหรือไม่มีพารามิเตอร์ก็ได้
    • { ... }: บล็อกของโค้ดที่ประกอบด้วยคำสั่งต่างๆ ที่จะทำงานเมื่อฟังก์ชันถูกเรียกใช้
    • return $returnValue; (Optional): คำสั่ง return ใช้เพื่อส่งค่ากลับไปยังส่วนที่เรียกใช้ฟังก์ชัน ฟังก์ชันอาจมีหรือไม่มีการคืนค่าก็ได้

    การเรียกใช้ฟังก์ชัน (Calling a Function)

    ในการเรียกใช้ฟังก์ชัน เพียงแค่พิมพ์ชื่อฟังก์ชันตามด้วยวงเล็บ () และส่งค่าอาร์กิวเมนต์ (ถ้ามี)

    PHP
    <?php
    
      function greet($name) {
        echo "สวัสดี, " . $name . "!";
      }
    
      greet("John"); // เรียกใช้ฟังก์ชัน greet โดยส่งค่า "John" เป็นอาร์กิวเมนต์
    
    ?>

    พารามิเตอร์ของฟังก์ชัน (Function Parameters)

    ฟังก์ชันสามารถรับค่าจากภายนอกผ่านทางพารามิเตอร์ คุณสามารถกำหนดชนิดข้อมูลของพารามิเตอร์ได้ (ตั้งแต่ PHP 7)

    การกำหนดชนิดข้อมูล (Type Hinting)

    PHP
    <?php
    
      function addNumbers(int $a, int $b) {
        return $a + $b;
      }
    
      echo addNumbers(5, 3); // Output: 8
      // echo addNumbers(5, "3"); // จะเกิด Fatal Error เนื่องจาก "3" ไม่ใช่ integer
    
    ?>

    ค่าเริ่มต้นของพารามิเตอร์ (Default Parameter Values)

    คุณสามารถกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับพารามิเตอร์ได้ หากตอนเรียกใช้ฟังก์ชันไม่ได้ส่งค่าสำหรับพารามิเตอร์นั้น จะใช้ค่าเริ่มต้นแทน

    PHP
    <?php
    
      function setGreeting($greeting = "Hello") {
        echo $greeting . ", world!";
      }
    
      setGreeting(); // Output: Hello, world!
      setGreeting("Hi"); // Output: Hi, world!
    
    ?>

    การคืนค่าจากฟังก์ชัน (Returning Values)

    ฟังก์ชันสามารถส่งค่ากลับไปยังส่วนที่เรียกใช้ได้ โดยใช้คำสั่ง return คุณยังสามารถกำหนดชนิดข้อมูลของค่าที่ฟังก์ชันจะคืนได้ (ตั้งแต่ PHP 7)

    PHP
    <?php
    
      function multiply(int $x, int $y): int {
        return $x * $y;
      }
    
      $result = multiply(4, 6);
      echo "ผลลัพธ์คือ: " . $result; // Output: ผลลัพธ์คือ: 24
    
    ?>

    ขอบเขตของตัวแปร (Variable Scope)

    ขอบเขตของตัวแปรกำหนดว่าตัวแปรสามารถเข้าถึงได้จากส่วนใดของสคริปต์ PHP

    Local Scope

    ตัวแปรที่ประกาศภายในฟังก์ชันจะมีขอบเขตเป็น local นั่นหมายความว่าสามารถใช้งานได้เฉพาะภายในฟังก์ชันนั้นเท่านั้น

    PHP
    <?php
    
      function myFunction() {
        $localVariable = "ฉันอยู่ในฟังก์ชัน";
        echo $localVariable;
      }
    
      myFunction(); // Output: ฉันอยู่ในฟังก์ชัน
      // echo $localVariable; // จะเกิด Error เนื่องจาก $localVariable ไม่สามารถเข้าถึงได้จากภายนอกฟังก์ชัน
    
    ?>

    Global Scope

    ตัวแปรที่ประกาศภายนอกฟังก์ชันจะมีขอบเขตเป็น global และไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรงภายในฟังก์ชัน หากต้องการเข้าถึงตัวแปร global ภายในฟังก์ชัน คุณต้องใช้คำหลัก global

    PHP
    <?php
    
      $globalVariable = "ฉันอยู่ภายนอกฟังก์ชัน";
    
      function anotherFunction() {
        global $globalVariable;
        echo $globalVariable;
      }
    
      anotherFunction(); // Output: ฉันอยู่ภายนอกฟังก์ชัน
    
    ?>

    ประโยชน์ของการใช้ฟังก์ชัน

    • การนำโค้ดกลับมาใช้ใหม่: คุณสามารถกำหนดบล็อกของโค้ดเป็นฟังก์ชันและเรียกใช้ได้หลายครั้งโดยไม่ต้องเขียนโค้ดซ้ำ
    • ความเป็นระเบียบ: ฟังก์ชันช่วยแบ่งโค้ดออกเป็นส่วนๆ ที่มีความหมาย ทำให้โค้ดอ่านง่ายและจัดการได้ง่ายขึ้น
    • การบำรุงรักษาที่ง่ายขึ้น: เมื่อคุณต้องการแก้ไขการทำงานบางอย่าง คุณสามารถแก้ไขเฉพาะในฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องได้

    กิจกรรมใน Module 4

    1. สร้างฟังก์ชันง่ายๆ ที่ไม่มีพารามิเตอร์และแสดงข้อความบางอย่าง
    2. สร้างฟังก์ชันที่รับพารามิเตอร์หนึ่งหรือสองตัวและแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล
    3. เขียนฟังก์ชันที่มีการคืนค่า และเรียกใช้ฟังก์ชันนั้นเพื่อนำค่าที่คืนมาใช้งาน
    4. ทดลองกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับพารามิเตอร์ของฟังก์ชัน
    5. ศึกษาและทดลองเกี่ยวกับขอบเขตของตัวแปร (local และ global)

    ใน Module ถัดไป เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ Array ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่สำคัญในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลหลายๆ ค่าในตัวแปรเดียวครับ!

  • PHP101 – โครงสร้างควบคุม (Control Structures)

    ใน Module นี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างควบคุม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดลำดับการทำงานของโปรแกรม PHP ของคุณ

    Conditional Statements

    Conditional statements ช่วยให้คุณสามารถกำหนดให้โปรแกรมทำงานแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขที่กำหนด

    if statement

    คำสั่ง if ใช้เพื่อตรวจสอบเงื่อนไข ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง (true) โค้ดภายในบล็อก if จะถูกประมวลผล

    PHP
    <?php
    
      $age = 20;
      if ($age >= 18) {
        echo "คุณมีสิทธิ์เข้าใช้งาน";
      }
    
    ?>

    else statement

    คำสั่ง else ใช้เมื่อเงื่อนไขใน if เป็นเท็จ (false) โค้ดภายในบล็อก else จะถูกประมวลผล

    PHP
    <?php
    
      $grade = 70;
      if ($grade >= 80) {
        echo "สอบผ่านระดับดีเยี่ยม";
      } else {
        echo "พยายามอีกครั้ง";
      }
    
    ?>

    elseif statement

    คำสั่ง elseif ใช้เพื่อตรวจสอบหลายเงื่อนไขตามลำดับ

    PHP
    <?php
    
      $score = 75;
      if ($score >= 80) {
        echo "A";
      } elseif ($score >= 70) {
        echo "B";
      } elseif ($score >= 60) {
        echo "C";
      } else {
        echo "F";
      }
    
    ?>

    Switch Statement

    คำสั่ง switch ใช้เพื่อเลือกทำงานตามค่าของตัวแปร

    PHP
    <?php
    
      $day = "Monday";
      switch ($day) {
        case "Monday":
          echo "วันนี้วันจันทร์";
          break;
        case "Tuesday":
          echo "วันนี้วันอังคาร";
          break;
        default:
          echo "วันนี้ไม่ใช่วันจันทร์หรือวันอังคาร";
      }
    
    ?>

    Loops

    Loops ใช้เพื่อทำซ้ำการทำงานของโค้ดบางส่วนตามจำนวนรอบที่กำหนดหรือตามเงื่อนไข

    while loop จะทำซ้ำโค้ดภายในบล็อกตราบเท่าที่เงื่อนไขยังคงเป็นจริง

    PHP
    <?php
    
      $i = 0;
      while ($i < 5) {
        echo "The number is: " . $i . "<br>";
        $i++;
      }
    
    ?>

    do...while loop จะทำงานอย่างน้อยหนึ่งครั้งเสมอ และจะทำซ้ำต่อไปตราบเท่าที่เงื่อนไขยังคงเป็นจริง

    PHP
    <?php
    
      $i = 0;
      do {
        echo "The number is: " . $i . "<br>";
        $i++;
      } while ($i < 5);
    
    ?>

    for loop ใช้สำหรับทำซ้ำโค้ดตามจำนวนรอบที่กำหนด โดยมีการกำหนดค่าเริ่มต้น เงื่อนไข และการเพิ่ม/ลดค่าตัวแปรควบคุม

    PHP
    <?php
    
      for ($i = 0; $i < 5; $i++) {
        echo "The number is: " . $i . "<br>";
      }
    
    ?>

    foreach loop ใช้สำหรับวนซ้ำสมาชิกภายใน Array หรือ Object (เบื้องต้นสำหรับการวนซ้ำ Array ใน Module นี้)

    PHP
    <?php
    
      $colors = array("red", "green", "blue");
      foreach ($colors as $color) {
        echo $color . "<br>";
      }
    
    ?>

    break และ continue statements

    break ใช้เพื่อออกจาก loop ทันที ส่วน continue ใช้เพื่อข้ามการทำงานในรอบปัจจุบันและไปยังรอบถัดไป

    PHP
    <?php
    
      for ($i = 0; $i < 10; $i++) {
        if ($i == 3) {
          break; // ออกจาก loop เมื่อ $i เท่ากับ 3
        }
        echo $i . "<br>";
      }
    
      echo "<br>";
    
      for ($i = 0; $i < 5; $i++) {
        if ($i == 2) {
          continue; // ข้ามรอบเมื่อ $i เท่ากับ 2
        }
        echo $i . "<br>";
      }
    
    ?>

    กิจกรรมใน Module 3

    1. เขียนโปรแกรมที่ใช้โครงสร้าง if-else เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ และทำงานตามเงื่อนไขนั้น
    2. สร้างโปรแกรมที่ใช้ switch case ในการเลือกการทำงานตามค่าของตัวแปร
    3. ฝึกการใช้ while, do...while, และ for loops เพื่อทำซ้ำการทำงานต่างๆ ตามจำนวนรอบที่กำหนดหรือตามเงื่อนไข
    4. เขียนโปรแกรมที่ใช้ foreach loop เพื่อแสดงผลข้อมูลใน Array
    5. ทดลองใช้ break และ continue statements เพื่อควบคุมการทำงานของ loop

    ใน Module ถัดไป เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างและใช้งานฟังก์ชัน (Functions) ใน PHP ซึ่งจะช่วยให้คุณเขียนโค้ดที่เป็นระเบียบและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่ายขึ้นครับ!

  • PHP101 – ไวยากรณ์พื้นฐานของ PHP

    ใน Module นี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับไวยากรณ์พื้นฐานของภาษา PHP ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเขียนโค้ด PHP ที่ถูกต้อง

    โครงสร้างพื้นฐานของไฟล์ PHP

    โค้ด PHP จะเริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยแท็กพิเศษ <?php และ ?> โค้ด PHP ทั้งหมดที่คุณเขียนจะต้องอยู่ภายในแท็กเหล่านี้

    PHP
    <?php
    
      // นี่คือโค้ด PHP ของคุณ
    
    ?>

    การเขียน Comment ใน PHP

    Comment คือส่วนของโค้ดที่ถูกละเว้นการประมวลผล ใช้สำหรับอธิบายโค้ดของคุณให้ผู้อื่นหรือตัวคุณเองเข้าใจได้ง่ายขึ้น PHP รองรับ Comment หลายรูปแบบ:

    • //: Comment บรรทัดเดียว
    • #: Comment บรรทัดเดียว (อีกรูปแบบ)
    • /* ... */: Comment หลายบรรทัด
    PHP
    <?php
    
      // นี่คือ comment บรรทัดเดียว
      # นี่ก็เป็น comment บรรทัดเดียวเช่นกัน
    
      /*
      นี่คือ
      comment
      หลายบรรทัด
      */
    
      echo "Hello"; // แสดงผลคำว่า Hello
    
    ?>

    ตัวแปร (Variables)

    ตัวแปรใช้สำหรับเก็บข้อมูลในโปรแกรม PHP

    การประกาศตัวแปร

    ใน PHP ตัวแปรจะเริ่มต้นด้วยเครื่องหมายดอลลาร์ ($) ตามด้วยชื่อตัวแปร

    PHP
    <?php
    
      $name;
      $age;
      $isLoggedIn;
    
    ?>

    การกำหนดค่าให้กับตัวแปร

    ใช้เครื่องหมายเท่ากับ (=) เพื่อกำหนดค่าให้กับตัวแปร

    PHP
    <?php
    
      $name = "John Doe";
      $age = 30;
      $isLoggedIn = true;
    
    ?>

    กฎการตั้งชื่อตัวแปร

    • ต้องเริ่มต้นด้วยเครื่องหมายดอลลาร์ ($)
    • ตามด้วยตัวอักษรหรือเครื่องหมายขีดล่าง (_)
    • ชื่อตัวแปรสามารถมีตัวอักษร ตัวเลข และเครื่องหมายขีดล่าง (_) ได้
    • ตัวอักษรพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ถือเป็นคนละตัว (Case-sensitive) เช่น $name กับ $Name เป็นตัวแปรที่แตกต่างกัน

    ชนิดข้อมูล (Data Types)

    PHP รองรับชนิดข้อมูลพื้นฐานหลายประเภท:

    • Integer: จำนวนเต็ม (เช่น 10, -5, 0)
    • Float: จำนวนทศนิยม (เช่น 3.14, -2.5)
    • String: ข้อความที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด (‘single quotes’ หรือ “double quotes”)
    • Boolean: ค่าความจริง มีสองค่าคือ true (จริง) และ false (เท็จ)
    • Array: ชุดของข้อมูลหลายค่า (เราจะเรียนรู้เพิ่มเติมใน Module 5)
    • Object: อินสแตนซ์ของคลาส (เราจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Object-Oriented Programming ใน Module 11)
    • NULL: ค่าพิเศษที่แสดงถึงการไม่มีค่า
    • Resource: ตัวอ้างอิงไปยังทรัพยากรภายนอก เช่น การเชื่อมต่อฐานข้อมูล หรือไฟล์ (แนะนำเบื้องต้น)
    PHP
    <?php
    
      $count = 10; // Integer
      $price = 99.99; // Float
      $message = "Hello, PHP!"; // String
      $isValid = true; // Boolean
      $items = array("apple", "banana"); // Array (เบื้องต้น)
      $user = new stdClass(); // Object (เบื้องต้น)
      $emptyValue = null; // NULL
      // $file = fopen("file.txt", "r"); // Resource (ตัวอย่าง)
    
    ?>

    ค่าคงที่ (Constants)

    ค่าคงที่คือตัวระบุที่เก็บค่าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลังจากถูกกำหนดแล้ว

    การประกาศค่าคงที่

    ใช้ฟังก์ชัน define() ในการประกาศค่าคงที่

    PHP
    <?php
    
      define("PI", 3.14159);
      define("APP_NAME", "My Awesome App");
    
    ?>

    การใช้งานค่าคงที่

    เรียกใช้งานค่าคงที่โดยใช้ชื่อของมันโดยไม่ต้องมีเครื่องหมายดอลลาร์ ($)

    PHP
    <?php
    
      echo PI;
      echo "ชื่อแอปพลิเคชันคือ " . APP_NAME;
    
    ?>

    ตัวดำเนินการ (Operators)

    ตัวดำเนินการใช้ในการกระทำการต่างๆ กับตัวแปรและค่าต่างๆ

    Arithmetic Operators

    ตัวดำเนินการคำอธิบายตัวอย่าง
    +การบวก$a + $b
    การลบ$a - $b
    *การคูณ$a * $b
    /การหาร$a / $b
    %Modulo (เศษจากการหาร)$a % $b

    Assignment Operators

    ตัวดำเนินการคำอธิบายเทียบเท่า
    =กำหนดค่า$a = $b
    +=บวกแล้วกำหนดค่า$a = $a + $b
    -=ลบแล้วกำหนดค่า$a = $a - $b
    *=คูณแล้วกำหนดค่า$a = $a * $b
    /=หารแล้วกำหนดค่า$a = $a / $b
    %=Modulo แล้วกำหนดค่า$a = $a % $b
    .=เชื่อมต่อ String แล้วกำหนดค่า$a = $a . $b

    Comparison Operators

    ตัวดำเนินการคำอธิบายตัวอย่าง
    ==เท่ากัน (ตรวจสอบเฉพาะค่า)$a == $b
    ===เหมือนกันทุกประการ (ตรวจสอบทั้งค่าและชนิดข้อมูล)$a === $b
    !=ไม่เท่ากัน$a != $b
    !==ไม่เหมือนกันทุกประการ$a !== $b
    >มากกว่า$a > $b
    <น้อยกว่า$a < $b
    >=มากกว่าหรือเท่ากับ$a >= $b
    <=น้อยกว่าหรือเท่ากับ$a <= $b

    Logical Operators

    ตัวดำเนินการคำอธิบายตัวอย่าง
    && หรือ andและ (ทั้งสองเงื่อนไขต้องเป็นจริง)$a && $b หรือ $a and $b
    || หรือ orหรือ (เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเป็นจริง)$a || $b หรือ $a or $b
    ! หรือ notนิเสธ (เปลี่ยนค่าจริงเป็นเท็จ และเท็จเป็นจริง)!$a หรือ not $a

    String Operators

    ตัวดำเนินการคำอธิบายตัวอย่าง
    .Concatenation (เชื่อมต่อ String)$a . $b
    .=Concatenation assignment (เชื่อมต่อ String แล้วกำหนดค่า)$a .= $b (เทียบเท่า $a = $a . $b)

    การแสดงผลข้อมูล (Output)

    PHP มีคำสั่งหลายอย่างที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลไปยังเบราว์เซอร์:

    • echo: แสดงผล String, ตัวแปร, หรือ HTML
    • print: ทำงานคล้ายกับ echo แต่คืนค่า 1 เสมอ
    • var_dump(): แสดงข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรอย่างละเอียด รวมถึงชนิดข้อมูลและความยาว
    PHP
    <?php
    
      $message = "Hello, world!";
      $number = 123;
      $data = array("apple", "banana", "cherry");
    
      echo $message;
      echo "<br>"; // แสดงผลขึ้นบรรทัดใหม่ (HTML)
      print $number;
      echo "<br>";
      var_dump($data);
    
    ?>

    กิจกรรมท้ายบทเรียน

    1. เขียนโปรแกรม PHP ที่ใช้ตัวแปรและกำหนดค่าให้กับตัวแปรประเภทต่างๆ
    2. ทดลองใช้ตัวดำเนินการ Arithmetic, Assignment, และ String และสังเกตผลลัพธ์
    3. เขียนโปรแกรมที่เปรียบเทียบค่าของตัวแปรโดยใช้ Comparison Operators และแสดงผลลัพธ์
    4. ใช้ Logical Operators เพื่อรวมเงื่อนไขหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน
    5. ฝึกการแสดงผลข้อมูลด้วยคำสั่ง echo, print, และ var_dump() เพื่อดูชนิดและค่าของตัวแปร

    ใน บทถัดไป เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างควบคุม (Control Structures) ซึ่งจะช่วยให้โปรแกรมของคุณสามารถตัดสินใจและทำงานซ้ำๆ ได้ครับ!

  • PHP101 – บทนำสู่ PHP และการติดตั้ง

    ใน Module แรกนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าภาษา PHP คืออะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร และถูกนำไปใช้งานในด้านใดบ้าง นอกจากนี้ เราจะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างการทำงานของโค้ดฝั่ง Client (Client-Side) และฝั่ง Server (Server-Side) ซึ่ง PHP นั้นเป็นภาษาที่ทำงานฝั่ง Server

    PHP คืออะไร?

    PHP (Hypertext Preprocessor) เป็นภาษาเขียนสคริปต์ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Server-Side Scripting Language) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการพัฒนาเว็บไซต์แบบไดนามิก นั่นหมายความว่าโค้ด PHP จะถูกประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ ก่อนที่จะส่งผลลัพธ์ในรูปแบบ HTML ไปแสดงผลบนเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน

    ประวัติความเป็นมาโดยย่อ

    PHP ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดย Rasmus Lerdorf ในปี 1994 และได้รับการพัฒนาต่อมาโดยชุมชนนักพัฒนาทั่วโลก ทำให้ PHP มีความยืดหยุ่นและมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย

    การใช้งาน PHP

    PHP ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในการพัฒนา:

    • เว็บไซต์แบบไดนามิก: สร้างเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงได้ตามการโต้ตอบของผู้ใช้ หรือข้อมูลในฐานข้อมูล
    • เว็บแอปพลิเคชัน: พัฒนาระบบจัดการเนื้อหา (CMS) เช่น WordPress, ระบบร้านค้าออนไลน์, ระบบสมาชิก, และอื่นๆ
    • การจัดการฐานข้อมูล: เชื่อมต่อและทำงานร่วมกับฐานข้อมูล เช่น MySQL, PostgreSQL
    • การสร้าง API: พัฒนาส่วนติดต่อสำหรับแอปพลิเคชันต่างๆ

    Client-Side Scripting vs. Server-Side Scripting

    เพื่อให้เข้าใจบทบาทของ PHP มากขึ้น เรามาดูความแตกต่างระหว่างการทำงานของสคริปต์ฝั่ง Client และฝั่ง Server กัน:

    • Client-Side Scripting (เช่น JavaScript): โค้ดจะถูกประมวลผลบนเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน ทำให้เว็บไซต์สามารถมีการโต้ตอบได้โดยไม่ต้องโหลดหน้าใหม่
    • Server-Side Scripting (เช่น PHP): โค้ดจะถูกประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ เว็บเซิร์ฟเวอร์จะประมวลผล PHP และส่งผลลัพธ์เป็น HTML, CSS, และ JavaScript ไปยังเบราว์เซอร์

    ข้อดีและข้อเสียของภาษา PHP

    ข้อดี:

    • เรียนรู้ง่าย: ไวยากรณ์ค่อนข้างง่ายและมีโครงสร้างที่ชัดเจน
    • ชุมชนขนาดใหญ่: มีนักพัฒนาและแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมาย ทำให้ง่ายต่อการค้นหาความช่วยเหลือและเรียนรู้เพิ่มเติม
    • ใช้งานได้หลากหลาย: สามารถใช้พัฒนาเว็บไซต์, เว็บแอปพลิเคชัน, และอื่นๆ
    • รองรับฐานข้อมูลหลากหลาย: ทำงานร่วมกับฐานข้อมูลยอดนิยมได้ดี
    • Open Source และฟรี: สามารถใช้งานและแก้ไขได้อย่างอิสระ
    • มี Frameworks และ CMS ที่แข็งแกร่ง: เช่น Laravel, Symfony, CodeIgniter (สำหรับ Frameworks) และ WordPress, Drupal, Joomla (สำหรับ CMS)

    ข้อเสีย:

    • ความเร็วในการทำงาน: ในบางกรณีอาจช้ากว่าภาษาที่คอมไพล์แล้ว
    • ความสม่ำเสมอของฟังก์ชัน: ฟังก์ชันบางส่วนอาจมีรูปแบบการใช้งานที่ไม่สอดคล้องกันในอดีต (แต่ได้รับการปรับปรุงในเวอร์ชันใหม่ๆ)
    • ความปลอดภัย: หากเขียนโค้ดไม่ดี อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    ความต้องการของระบบสำหรับการพัฒนา PHP

    โดยทั่วไป คุณไม่จำเป็นต้องมีสเปคคอมพิวเตอร์ที่สูงมากสำหรับการเริ่มต้นพัฒนา PHP สิ่งที่สำคัญคือการมีโปรแกรมที่จำเป็นในการจำลองสภาพแวดล้อมเซิร์ฟเวอร์บนเครื่องของคุณ

    การติดตั้ง

    ในการเริ่มต้นพัฒนา PHP คุณจะต้องติดตั้งโปรแกรมเหล่านี้:

    1. Web Server: โปรแกรมที่ทำหน้าที่รับคำขอจากเบราว์เซอร์และส่งกลับข้อมูล (เช่น Apache หรือ Nginx)
    2. PHP Interpreter: โปรแกรมที่ทำหน้าที่อ่านและประมวลผลโค้ด PHP
    3. Database (Optional แต่แนะนำ): ระบบจัดการฐานข้อมูล (เช่น MySQL หรือ MariaDB) ซึ่งมักใช้ในการเก็บข้อมูลของเว็บไซต์

    ตัวเลือกการติดตั้งยอดนิยม

    มีหลายวิธีในการติดตั้งโปรแกรมเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของคุณ:

    • Windows:
      • XAMPP: ติดตั้ง Apache, PHP, MySQL พร้อมใช้งาน
      • WAMP: คล้ายกับ XAMPP แต่เน้นสำหรับ Windows
      • Laragon: เครื่องมือในการพัฒนาที่รวดเร็วและมีขนาดเล็ก
    • macOS:
      • MAMP: ติดตั้ง Apache, PHP, MySQL บน macOS
      • Docker: ใช้ Container ในการจำลอง Server
      • Homebrew: สามารถติดตั้ง Apache, PHP, MySQL แยกกันได้
    • Linux:
      • สามารถติดตั้ง Apache, PHP, MySQL ผ่าน Package Manager ของแต่ละ Distribution (เช่น apt บน Debian/Ubuntu, yum บน CentOS/RHEL)
      • Docker: ใช้ Container ในการจำลอง Server

    คำแนะนำ: สำหรับผู้เริ่มต้น XAMPP หรือ WAMP (บน Windows) และ MAMP (บน macOS) เป็นตัวเลือกที่ง่ายและรวดเร็วในการติดตั้งทุกอย่างพร้อมใช้งาน

    ขั้นตอนการติดตั้งเบื้องต้น (ตัวอย่างสำหรับ XAMPP):

    1. ไปที่เว็บไซต์ของ Apache Friends (https://www.apachefriends.org/download.html)
    2. ดาวน์โหลด XAMPP เวอร์ชั่นที่รองรับระบบปฏิบัติการของคุณ
    3. เปิดไฟล์ติดตั้งและทำตามขั้นตอนที่ปรากฏบนหน้าจอ
    4. เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้เปิด XAMPP Control Panel
    5. คลิกปุ่ม “Start” ข้างหน้า Apache และ MySQL (ถ้าคุณต้องการใช้งานฐานข้อมูล)

    การตั้งค่า Environment Variables (ถ้าจำเป็น)

    โดยทั่วไป โปรแกรมติดตั้งอย่าง XAMPP และ MAMP จะจัดการการตั้งค่า Environment Variables ให้โดยอัตโนมัติ

    เครื่องมือ Text Editor/IDE ที่นิยมใช้ในการพัฒนา PHP

    คุณสามารถใช้โปรแกรม Text Editor หรือ Integrated Development Environment (IDE) ในการเขียนโค้ด PHP บางตัวที่นิยมมีดังนี้:

    • Visual Studio Code (VS Code): ฟรี, มี Extension มากมายสำหรับ PHP
    • Sublime Text: เสียเงิน แต่มีเวอร์ชั่นทดลองใช้, น้ำหนักเบาและรวดเร็ว
    • PhpStorm: เสียเงิน, IDE ที่ออกแบบมาสำหรับ PHP โดยเฉพาะ มีฟีเจอร์ขั้นสูง
    • Notepad++ (Windows): ฟรี, Text Editor ที่มีฟีเจอร์สำหรับเขียนโค้ด
    • TextEdit (macOS): ฟรี, มาพร้อมกับ macOS (ใช้งานได้ แต่ฟีเจอร์น้อยกว่าตัวอื่น)

    คำแนะนำ: VS Code เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากฟรีและมี Extension ที่ช่วยในการพัฒนา PHP ได้มาก

    การสร้างไฟล์ PHP แรก และการรันบน Web Server

    1. เปิดโปรแกรม Text Editor หรือ IDE ที่คุณเลือก
    2. สร้างไฟล์ใหม่และบันทึกชื่อว่า hello.php (หรือชื่ออื่นที่มีนามสกุล .php)
    3. พิมพ์โค้ด PHP ต่อไปนี้ลงในไฟล์:
    PHP
    <!DOCTYPE html>
    <html>
    <head>
        <title>Hello PHP!</title>
    </head>
    <body>
        <h1><?php echo "สวัสดี PHP!"; ?></h1>
    </body>
    </html>
    1. บันทึกไฟล์ hello.php ไว้ในโฟลเดอร์ htdocs (สำหรับ XAMPP/WAMP) หรือ Applications/MAMP/htdocs (สำหรับ MAMP) หรือโฟลเดอร์ web root ที่คุณตั้งค่าไว้
    2. เปิดเว็บเบราว์เซอร์ของคุณ (เช่น Chrome, Firefox, Safari)
    3. พิมพ์ localhost/hello.php ในช่อง Address Bar แล้วกด Enter

    ถ้าทุกอย่างถูกต้อง คุณควรจะเห็นข้อความ “สวัสดี PHP!” แสดงบนหน้าเว็บของคุณ

    กิจกรรมใน Module 1

    1. ติดตั้ง Web Server, PHP Interpreter, และ Database (ถ้าต้องการ) บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ
    2. สร้างไฟล์ PHP ง่ายๆ ที่แสดงข้อความอื่น หรือลองใช้คำสั่ง echo แสดงผลตัวเลขหรือข้อความภาษาอังกฤษ
    3. ทดลองแก้ไขโค้ดและสังเกตผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    ยินดีด้วย! คุณได้เริ่มต้นการเดินทางสู่โลกของ PHP แล้ว ใน Module ถัดไป เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับไวยากรณ์พื้นฐานของภาษา PHP กันครับ ติดตามกันด้วยนะครับ!